วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

BLOGGER!!!

www.mememejung.blogspot.com



www.tiruk15.blogspot.com


www.Jukduy.blogspot.com


www.nittaya13.blogspot.com


www.nutsba.blogspot.com


www.Patama13.blogspot.com


www.newyear7134.blogspot.com


www.Dajung2010.blogspot.com


www.poopae555.blogspot.com


www.Zoo-Ruk.blogspot.com


www.praputson2.blogspot.com


www.Namtho999.blogspot.com


www.Santan9899.blogspot.com


www.Swlkksanpui.blogspot.com


www.apisit-loveyou.blogspot.com


www.Koonstitchclub.blogspot.com


www.Thaicok.blogspot.com


www.Tangtonnalove.blogspot.com


www.Pimpakk486.blogspot.com


www.petchai222.blogspot.com


www.kimhyonjung.blogspot.com


www.surut16.blogspot.com


www.forgetmenot_fernway.blogspot.com


www.sorry-lin.blogspot.com


www.Mintra-abnormal.blogspot.com


www.DowandMok.blogspot.com


www.Cheesekra.blogspot.com


www.AE andtama.blogspot.com


www.pigred14.blogspot.com


www.piew88blogspot.com


www.tukinpo.blogspot.com


www.Toulex5.blogspot.com


www.loypila.blogspot.com


www.kapook16.blogspot.com


www.Mayrrhung.blogspot.com


www.Bigbody11.blogspot.com


หมากคร่ำศรี


ผู้คนในสยามประเทศนับล่วงเวลา 30-40 ปีขึ้นไป นิยมกินหมาก โดย การนำหมากเคี้ยวกับพลูและปูนแดง ผู้เฒ่าผู้แก่ไปไหนมาไหนจึงมักจะ กระเตงเชี่ยนหมากติดตัวไปด้วย หรือหากอายุมากแล้วก็จะเป็นภาระของบุตร หลานที่ต้องถือไปให้ท่าน ในเชี่ยนหมากจะพบลูกหมาก พลู ปูนแดง มีดหั่น หมาก ตะบันหมาก ผ้าเช็ดปาก และกระป๋องนมข้นเปล่า (ปัจจุบันพบว่าใช้ถุง พลาสติก) สำหรับบ้วนน้ำหมาก ผู้กินหมากปากจะแดงไปด้วยสีของน้ำหมาก และฟันจะมีสีน้ำตาลแดงจนสีดำเข้ม อันเนื่องมาจากคราบของแทนนิน แต่ ปัจจุบันจะพบเห็นผู้ที่กินหมากน้อยลง หมากจึงเป็นสัญลักษณ์ของความ คร่ำครึโบราณ แต่แท้จริงแล้วหมากยังคงเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์มาก ในด้านการรักษาโรคของมนุษย์และสัตว์



หมากเป็นพืชในวงศ์ Palmae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Areca catechu Linn. ชื่อทั่วไปภาษาอังกฤษว่า Areca palm หรือ betel nut palm สำหรับชื่อท้องถิ่น ได้แก่ เค็ด พลา สะลา เซียด (จังหวัดนครราชสีมา) แซ (กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน) ปีแน ปีนัง (มาเลเซีย) มะ (ตราด) สีซะ (กะเหรี่ยง พายัพ) หมาก หมากเมีย (ชื่อทั่วไปไทยภาคกลาง) หมากมู้ (ฉาน แม่ฮ่องสอน) โดยหมากมีถิ่นกำเนิด ในทวีปเอเชียเขตร้อน

หมากมีลำต้นโต ลำต้นโดยธรรมชาติจะตั้งตรงสูงชะลูดเป็นปล้อง ไม่มี กิ่งก้านตามลำต้น แตกกิ่งก้านใบอยู่ที่ยอดของลำต้น ใบเล็กยาวมาก ดอกออก เป็นช่อ ลูกออกเป็นพวงเรียกว่า ทะลายหมาก ผลที่ยังไม่แก่เรียก หมากดิบ ผลที่แก่จัดเรียก หมากสง เนื้อหมากที่ฝานบางๆ แล้วตากแห้ง มีลักษณะคล้าย อีแปะ เรียก หมากอีแปะ ส่วนผลแก่จัดที่เก็บไว้ทั้งเปลือกเพื่อไว้กินนานๆ เรียก หมากยับ หมากดิบมีสีเขียวจัดเมื่อแก่จัดจะมีสีแสด เมล็ดหมากมีลักษณะ เกือบกลม เมื่อผ่าตามขวาง จะเห็นลายภายในสีน้ำตาลแก่สลับขาว เหมือน ลายหินอ่อน มีรสฝาดเฝื่อน


องค์ประกอบสำคัญทางเคมีที่พบในหมาก ได้แก่ แอลคาลอยด์ เช่น arecoline, arecolidine, arecoidine และ guvacine ส่วนสารฝาด ได้แก่ แทนนิน (tannin)


ส่วนที่ใช้ประโยชน์และสรรพคุณ


เมล็ดหมาก


-ใช้ฟอกหนัง เนื่องจากมีปริมาณแทนนินสูงและใช้เป็นส่วนผสมของ การย้อมผ้าสีกากี แหและอวนที่ทำจากด้าย


- หมากสง ใช้เป็นยาขับเหงื่อ ทำให้ม่านตาหรี่


- กินกับพลูและปูนแดง ทำให้เหงือกแข็งแรง

- หมากมีแอลคาลอยด์ที่มีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาท


- ฝานเนื้อหมากดิบ ทารักษาแผลน้ำกัดตามง่ามมือ เท้า


- รับประทานแก้ท้องร่วง อาเจียน


- ฝนทาปาก เป็นยาสมานแผล ปากเปื่อย

- ใช้เป็นยาเบื่อพยาธิในมนุษย์


- สำหรับสัตว์มีฤทธิ์เป็นยาถ่าย เบื่อพยาธิตัวกลมและตัวแบน


รากหมาก


- ต้มอมแก้ปากเปื่อย ร้อนใน กระหายน้ำ แก้บิด ขับปัสสาวะ

ใบหมาก


- ต้มอาบแก้คัน ผสมกับยารับประทาน ใช้ลดไข้


จึงเห็นได้ว่าหมากซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจในอดีต แต่ในปัจจุบันเกษตรกร ให้ความสำคัญน้อยและปลูกน้อยลง อันเนื่องจากความนิยม และการบริโภค ลดลง แต่ก็ยังสามารถพัฒนาเป็นยาสมุนไพรเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับหมากได้ หากมีการประสานการวิจัยค้นคว้าศึกษาทางวิทยาศาสตร์ให้แพร่หลาย มากขึ้น

ต้นเงิน



คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นเงินไหลมาไว้ประจำบ้าน จะทำให้เกิดความร่ำรวย เพราะเงินไหลมาเป็นไม้มงคลนาม สามารถทำให้เงินทองไหลมาสู่บ้านและผู้อาศัย จึงทำให้เกิดความมั่งมี




ที่สำคัญยังมีความเชื่ออีกว่าต้นเงินไหลมายังช่วยสร้างความเป็นเสน่ห์แก่บ้านและผู้อาศัย เพราะลักษณะใบของต้นเงินไหลมามี สีสรร สวยงาม สีกลางใบคล้ายสีเงิน



เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นเงินไหลมาไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ผู้ปลูกควรปลูกในวันอังคาร เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาคุณทางใบให้ปลูกในวันอังคาร

สุกี้แห้งหมู



ส่วนผสม







หมูสันใน แล่บางๆ เป็นชิ้นพอคำ


ผักกาดขาว หั่นชิ้นพอคำ 3 ถ้วย


ผักบุ้งเด็ดเป็นท่อนสั้นๆ 3 ถ้วย


วุ้นเส้น 2 กำเล็ก แช่น้ำให้นิ่ม


น้ำจิ้มสุกี้ แล้วแต่ชอบเข้มข้นแค่ไหน


คึ่นช่ายหั่นเป็นท่อนๆ 1 ต้น


ไข่ไก่ 2 ฟอง


น้ำปลา เล็กน้อย


น้ำมันงา 3-4 หยด


พริกไทย เล็กน้อย


น้ำมันพืช สำหรับผัด 2-3 ช้อนโต๊ะ


วิธีทำ






เริ่มจากการหมักหมูด้วยไข่ น้ำปลา น้ำมันงา พริกไทยป่น พักไว้ 1-2 ชม.


ตั้งกระทะใบใหญ่ๆ ใส่น้ำมัน ใส่หมูที่หมักไว้พร้อมไข่ลงผัดให้สุก จากนั้นตามด้วยผักกาดขาว ผัดให้สลดสักนิด แล้วใส่ผักบุ้ง คึ่นช่าย


ปรุงด้วยน้ำจิ้มสุกี้ วันนี้ใช้สูตรเต้าหู้ยี้ ยี่ห้อพันท้ายนรสิงห์ ติดใจอยู่ยี่ห้อเดียวนี่ละค่ะ รู้สึกว่าเผ็ดจัดจ้านได้ที่ และรสชาตินี่ไม่เคยต้องปรุงด้วยอย่างอื่นเลย แค่น้ำจิ้มอย่างเดียวก็อยู่ เคล้าๆ ให้ทั่ว พอผักสุกแล้ว ใส่วุ้นเส้น (ตัดเป็นท่อนสั้นๆ ก่อนนะคะ) ผัดให้วุ้นเส้นสุก ชิมและเติมน้ำจิ้มสุกี้อีกตามชอบ


พร้อมเสิร์ฟค่ะ จะเสิร์ฟกับน้ำจิ้มสุกี้ให้จัดจ้านขึ้นไปอีก